วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2551

จะเข้


จะเข้

จะเข้ เป็นเครื่องดนตรีไทย ประเภทเครื่องดีด บรรเลงโดยการวางดีดตามแนวนอน สารานุกรมศัพท์ดนตรีไทยของราชบัณฑิตยสถานได้กล่าวถึงจะเข้ไว้ว่า “เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีดสันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากมอญ ทำเป็นรูปร่างเหมือนจระเข้ทั้งตัว มีสายขึงดีดอยู่ด้านบน”
ตัวของจะเข้นั้นทำด้วยไม้ท่อนขุดเป็นโพรงอยู่ภายใน นิยมใช้ไม้แกนขนุนเพราะให้เสียงกังวานดี ด้านล่างเป็นพื้นไม้ โดยมากใช้ไม้ฉำฉา เจาะรูไว้เพื่อให้เสียงออกดีขึ้น มีเท้าติดอยู่กับพื้นไม้ด้านล่างตัวทั้งหมด ๕ เท้า อยู่ทางด้านที่เป็นกระพุ้งหรือด้านขวามือของผู้บรรเลง ๔ เท้า และด้านรางไหมหรือด้านซ้ายมือของผู้บรรเลงอีก ๑ เท้า

จะเข้นั้น มีสาย ๓ สาย คือ สายที่อยู่ชิดทางด้านนอกตัวเรียกว่าสายเอก นิยมทำด้วยเอ็นหรือไหม สายถัดมาอยู่ตรงกลาง เรียกว่าสายทุ้ม ซึ่งก็ทำด้วยสายเอ็นหรือไหมเช่นเดียวกัน ส่วนสายในสุดด้านติดผู้บรรเลง ทำด้วยลวดทองเหลือง เรียกว่าสายลวด สายทั้ง ๓ สายนั้นขึงจากหลักที่อยู่บนด้านที่เป็นกระพุ้งของตัวจะเข้ พาดผ่านทับบนโต๊ะ (ทำด้วยกล่องทองเหลืองลักษณะกลวง) แล้วขึงไปพาดกับหย่องและสอดผ่านรางไหมลงไปพันกับก้านลูกบิดที่อยู่ทางด้านท้ายของตัวจะเข้ สายแต่ละสายจะพันอยู่กับลูกบิดสายละอัน

ศิลปินที่เชี่ยวชาญและชื่อเสียงในด้านการบรรเลงจะเข้ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้นมีมากมายหลายท่าน อย่างที่บอกเล่ากันปากต่อปาก เช่นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งผู้ที่ถือว่ามีชื่อเสียงในการบรรเลงจะเข้ ก็เช่น พระราชชายาเจ้าดารารัศมี เจ้าบัวชุม เจ้าบุญปั่น ฯลฯ แต่หลักฐานสำคัญที่เกี่ยวกับจะเข้ อย่างเป็นทางการ คือ หลักฐานที่ปรากฎในทะเบียนข้าราชการของกรมมหรสพในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ซึ่งปรากฏนามศิลปินในราชสำนักที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ท่านหนึ่งนามว่า "หลวงว่องจะเข้รับ (โต กมลวาทิน)" ซึ่งเมื่อศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ย้อนไปทำให้ทราบว่า ท่านได้ศึกษาวิชาการดีดจะเข้มาจากโบราณจารย์และเป็นศิษย์คนหนึ่งของพระยาประสานดุริศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เจ้ากรมพิณพาทย์หลวง มีฝีมือดีจนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์หลวงว่องจะเข้รับ ต่อมาท่านได้ถ่ายทอดวิชาการดีดจะเข้ให้กับครูชุ่ม กมลวาทินผู้เป็นน้องชาย และครูจ่าง แสงดาวเด่น ลูกศิษย์คนสำคัญที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักดีดจะเข้ฝีมือดีมากที่สุดคนหนึ่งของวงเครื่องสายราชสำนักของรัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗ นอกจากนี้ ยังมีนักดีดจะข้ฝีมือดีอีกหลายท่าน อาทิ ครูแสวง อภัยวงศ์ ที่ได้รับการยกย่องและยอมรับอีกเช่นกัน ต่อมาท่านทั้งหลายนี้ได้ถ่ายทอดวิชาการดีดจะเข้ให้ครูระตี วิเศษสุรกานต์ จนมีความสามารถและได้รับยกย่องว่าเป็นนักดีดจะเข้หญิงฝีมือเอกของประเทศ นอกจากนี้ ในยุคเดียวกับครูระตีนั้น ก็ยังมีมือจะเข้ที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่าน เช่น ครูทองดี สุจริตกุล, ครูนิภา อภัยวงศ์, ครูแอบ ยุวณวณิช ,นางมหาเทพกษัตริย์สมุห (บรรเลง สาคริก) ฯลฯ (มีอีกมากมายหลายท่านที่ไม่ได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้)

และในยุคหลังต่อมา ครูจะเข้ที่มีชื่อเสียงก็เช่น ครูสุธารณ์ บัวทั่ง, ครูสหรัฐ จันทร์เฉลิม, ครูศิวศิษย์ (บัญชา) นิลสุวรรณ, ครูปกรณ์ รอดช้างเผื่อน, ครูอาทร ธนวัฒน์, ครูศักรินทร์ สู่บุญ, ครูขำคม พรประสิทธิ์ ครูจารุวรรณ ปฐมปัทมะ ฯลฯ (มีอีกมากมายหลายท่านที่ไม่ได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้) ซึ่งอาจารย์แต่ละท่านล้วนแล้วแต่ได้รับการถ่ายทอดวิชาการบรรเลงจะเข้มาจากครูยุคก่อนทั้งสิ้น และครูแต่ละท่านที่กล่าวมานี้ ต่างก็ได้ถ่ายทอดวิชาการบรรเลงจะเข้ให้กับเด็กในยุคปัจจุบันให้มีความสามารถและชื่อเสียงอีกมากมาย

ไม่มีความคิดเห็น: